ชาวมะเขือเผาฟิน! เปิบ “ดักแด้ไหม” ปึ๋งปั๋งเทียบชั้นไวอากร้า


ชาวมะเขือเผาได้ฟิน นักวิจัยพบสารสำคัญ “ซิลเดนาฟิล” ใน “ดักแด้ไหม” พันธุ์ไทยพื้นบ้าน เปิบ 22 ตัวสด ปึ๋งปั๋งเทียบชั้นไวอากร้า

นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า จากการที่นายวิโรจน์ แก้วเรือง ผู้เชี่ยวชาญกรมหม่อนไหม และคณะได้ร่วมกับ ผศ.ดร.สมชาย จอมดวง คณะอุตสาหกรรมเกษตร รศ.ดร.ปรัชญา วงศ์ทวีเลิศ และดร.ณัฐชัย ดวงนิล อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการศึกษาวิจัยต่อยอดเพื่อศึกษาสารสกัดในดักแด้ไหมที่มีฤทธิ์ต่อร่างกาย โดยนำดักแด้ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน 2 พันธุ์ คือ พันธุ์นางน้อยศรีสะเกษ-1 และพันธุ์เหลืองสุรินทร์ ทั้งตัวผู้และตัวเมียเข้าสู่กระบวนการสกัด หลังตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการพบว่า ดักแด้ไหมทั้งตัวผู้และตัวเมียมีฤทธิ์เทียบเท่าสารซิลเดนาฟิล (Sildenafil) หรือไวอากร้า โดยมีฤทธิ์เป็น 102 % ของซิลเดนาฟิล และสารสกัดจากดักแด้ไหม จำนวน 22 ตัว จะมีฤทธิ์เทียบเท่าไวอากร้าขนาด 100 มิลลิกรัม

ทั้งนี้ สารสกัดในดักแด้ไหมเป็นสารที่มีฤทธิ์เช่นเดียวกับที่มีในยาไวอากร้า ซึ่งจากการทดสอบทางห้องปฏิบัติการพบว่า สารสกัดจากดักแด้ไหมและสารซิลเดนาฟิลมีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดเลือดโดยเฉพาะในเพศชาย ทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัวเมื่อมีสิ่งเร้าหรือมีสิ่งมากระตุ้น หรือแค่ใจเกิดความต้องการทางเพศ ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ ทำให้ความเป็นชายคึกคักฟิตปั๋งได้เทียบชั้นหรืออาจดีกว่ายาไวอากร้า

นอกจากนั้น ดักแด้ไหมยังมีโปรตีน เกลือแร่และมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายชนิดถึง 67 % เช่น กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มโอเมก้า-6 ที่เป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างสมองร่วมกับโอเมก้า-3 ที่ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังมีกรดไลโนเลนิก (linolenic acid) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มโอเมก้า-3 ที่จำเป็นต่อการทำงานของสมองในด้านการมองเห็น การปรับตัว การเรียนรู้ และอารมณ์ และดักแด้ไหมยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 ด้วย
“คนไทยนิยมบริโภคดักแด้ไหมที่สุกแล้ว โดยนำไปคั่วซึ่งมีรสมันและอร่อยดี หรือนำไปปรุงอาหารชนิดอื่นก็ได้ เช่น ยำ ไข่เจียวดักแด้ และกะเพรา เป็นต้น โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะบริโภคดักแด้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งจะมีดักแด้ไหมขายตามฤดูกาลเลี้ยงไหม ราคากิโลกรัมละ ประมาณ 150-200 บาท ขณะที่ชาวญี่ปุ่นก็บริโภคดักแด้ไหมที่ปรุงแล้วเช่นเดียวกับชาวจีน เกาหลี อินเดีย และพม่า ซึ่งซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งมีการนำดักแด้ไหมไปวางจำหน่ายเพื่อรองรับความต้องการ และในอนาคตองค์การสำรวจอวกาศการบินญี่ปุ่นจะนำดักแด้ไหมไปเป็นอาหารของนักบินอวกาศด้วย เนื่องจากมีน้ำหนักเบาและมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก” อธิบดีกรมหม่อนไหมกล่าว

ที่มา: http://health.sanook.com/2981/

ชื่นชอบข่าวนี้ อยากแชร์ต่อให้เพื่อนๆ

“ไข่แดง” ของไข่ใบไหนที่ดูปกติในสายตาคุณ?


เวลาคุณตอกไข่ในตอนเช้า คุณมักจะเห็นแค่ ไข่แดง และไข่ขาวออกมาโดยไม่สังเกตสัมันเท่าไหร่ แต่รู้หรือไม่ส่า จริงๆ แล้วมันไม่ควรจะเป็นสีเหลือง…

สีของไข่แดง บอกสุขภาพของแม่ไก่ที่วางไข่ได้เป็นอย่างดี แต่น้อยคนนักที่จะสนใจหรือรู้ในเรื่องนี้

เวลาเรานึกถึงไก่ที่ออกไข่มาให้เราทาน เราอาจจะนึกถึงภาพด้านบนนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าไข่ที่เราทานนั้นจริงๆ แล้วเป็นไข่ที่มาจากไก่ในฟาร์ม ที่อยู่อย่างแออัดในกรง และไม่เคยเห็นแสงตะวันเลยด้วยซ้ำ

วันนี้เราเลยมีคำถามง่ายๆ มาถามคุณ คุณลองตอบสิว่า ไข่แดงใบไหนที่ดูปกติในสายตาของคุณ



ถ้าคุณซื้อที่ห้างทั่วไปในสหรัฐฯ ที่คุณพบได้มากที่สุดจนคิดว่าเป็นเรื่องปกติคือใบกลาง ที่เป็นสีเหลือง ซึ่งสิ่งที่บอกจากไข่ใบนั้นก็คือ แม่ไก่ตัวนั้นไม่ค่อยได้ทานอะไรที่มีประโยชน์มากนัก

และถึงแม้ว่ามันจะดูแปลก แต่ไข่แดงที่ดูหนากว่า สีส้มเข้มกว่า นั่นแหละคือไข่ที่ดีที่สุด



Dr. Hilary Shallo Thesmar, director of food safety programs for the Egg Nutrition Center (ENC) กล่าวว่า ไข่ที่มีสีเข้ม มาจากการที่แม่ไก่ถูกเลี้ยงอย่างอิสระ ได้กินอาหารที่มีสีหลากหลาย และนั่นส่งผลถึงสีของไข่แดงนั่นเอง

และการที่เราต้องใส่ใจว่าแม่ไก่ทานอะไรนั้น ก็เพราะว่ามันจะไปส่งผลกับสารอาหารในไข่ของเราด้วยนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าถึงแม้โปรตีน และไขมันจะไม่ต่างกันมาก แต่สีของไข่แดงจะแสดงถึง xanthophylls และ omega-3 fatty acids ที่ต่างกัน

xanthophylls จะพบใน spinach, kale, collards, zucchini, broccoli, และ brussels sprouts ส่วน Omega-3 fatty acids จะพบใน flax seeds และ sea kelp ซึ่งหากแม่ไก่ได้ทานของเหล่านี้เข้าไป มันจะส่งต่อมายังไข่แดงด้วย และเราจะได้รับด้วยในที่สุด ซึ่งนั่นหมายถึงไข่ที่มี vitamins A, D , E; และ beta-carotene มากกว่าด้วยนั่นเอง

ที่มา: http://board.postjung.com/951483.html

ชื่นชอบข่าวนี้ อยากแชร์ต่อให้เพื่อนๆ

ประสบการณ์รักษา ริดสีดวง


ประสบการณ์รักษา ริดสีดวง (โดย Park_Micky)
หายได้…ไม่ต้องผ่าแล้ว หายจริง
สวัสดีค่ะ วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์การรักษาริดสีดวงสำหรับตัวดิฉันเองถือว่ารักษาได้เกือบ 100% เลยค่ะ เลยอยากจะมาแชร์ข้อมูล เผื่อใครอยากจะลองเอาไปทำดู ก่อนที่จะตัดสินใจผ่านะคะ
ก่อนอื่น ขออธิบายอาการคร่าวๆ ของดิฉันก่อนนะคะ
1 เป็นริดสีดวงมานานมากแล้วประมาณ 15 ปี เป็นตั้งแต่มัธยมต้นกันเลยย
2 ระยะที่เป็นน่าจะระยะที่ 4 คือไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้แล้วค่ะ แล้วช่วงอักเสบคือเลือดไหลเยอะ ร้าวรานมาก เคยเป็นแบบหนักสุดคือมีเลือดซึมออกมา 4 วันค่ะ..เกือบแย่
3 วิธีการที่เคยลอง
3.1 ยาเหน็บ เคยลองเมื่อนานมาแล้ว แต่อ่านข้อมูลแล้วเค้าไม่ให้ใช้ติดต่อกันนานเพราะว่าจะทำให้เนื้อเยื่อรอบทวารหนักบาง เลยเลิกใช้
3.2 ยาฝรั่ง daflon เคยใช้ แต่ราคาแพงกว่ายาสมุนไพร เพชรสังฆาตและให้ผลเหมือนกัน คือ ช่วยบรรเทาอาการ
3.3 ยาหม่องอินทรชิตร์ รุ่นแก้ริดสีดวง ดีค่ะ ช่วยให้รอบทวารชุ่มชื่น แต่ก็แค่บรรเทาอาการ
3.4 และวิธีสุดท้ายค่ะ ที่ได้ผลมากสำหรับดิฉัน คือ หัวไชเท้า + น้ำผึ้ง
ต้องบอกก่อนนะคะว่าดิฉันกำลังจะตัดสินใจผ่าอยู่แล้วเชียววว เตรียมหาโรงพยาบาลแล้วด้วย ดูค่ารักษาแล้วก็แอบตกใจเล็กน้อย เลยลองเสริชดูอีกครั้ง แล้วก็มาเจอวิธีง่ายๆ วิธีนี้ ดูเป็นสูตรโบราณมาก เค้าเขียนไว้ว่า
“ท่านให้เอา หัวผักกาดขาว (หัวไชเท้า) สด ๑-๒ หัว นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตัดหัวจุกทิ้งเสีย ตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำ ๑ ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้งแท้ ๑ ช้อนโต๊ะ กวนให้เข้ากัน ใช้รับประทาน เวลาก่อนนอน (เวลากลางคืน) ถ้าเริ่มเป็นใหม่ๆ ปรุงยานี้รับประทานเพียง ๓ ครั้งเท่านั้น และดากออกจะหายเป็นปลิดทิ้งทันที ถ้าเป็นมานานแล้ว ให้ปรุงยานี้รับประทาน วันละ ๑ ครั้ง ทุกวันติดต่อกันประมาณ ๑๕ วัน สรรพคุณ : โรคริดสีดวงทวารหนักชนิดเลือดออก และดากออกจะหายขาด ชะงัดนักแล ฯ “


อ่านเสร็จปุ๊บ คิดเลยว่ายังไงก็ต้องลอง เพราะไม่อยากเสียตังค์ผ่า ดิฉันดูจากระยะที่ตัวเองเป็น ก็ให้เวลาตัวเองไว้เลยว่าจะกินเป็นเวลา 2 เดือน เพราะคิดว่า 15 วันอาจจะยังน้อยไป
วิธีทำก็ทำตามที่สูตรบอกเลยนะคะ แต่ดิฉันมีเครื่องแยกกาก ก็ตัดหัวไชเท้าออกมาไม่มากค่ะ ประมาณ 1.5 – 2 นิ้ว คั้นสด แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กินก่อนนอน .... จะบอกว่าครั้งแรกที่ดิ่ม เพิ่งจะรู้ว่าหัวไชเท้าสดๆ มันเผ็ด แต่พอกินๆ ไปก็ชินค่ะ พยายามนึกถึงคำที่ว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา เข้าไว้...ดิ่มเสร็จ พยายามอย่าดิ่มน้ำตามนะคะ ถ้าไม่ไหวก็ดิ่ม 1 อึก พอค่ะ แล้วเข้านอนเลยย
ผลที่ได้คือ ดิ่มไปสองวัน อาการเจ็บลดน้อยลงอย่างรู้สึกได้ชัด เลือดไม่ออกตอนเข้าห้องน้ำจริงๆ ด้วย..แบบว่ามีกำลังใจในการดิ่มต่อขึ้นมาทันที
ส่วนตัวแล้วทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ ดิฉันจะแช่ก้นในน้ำอุ่นนะคะ แล้วลองจับหัวริดซี่ดูค่ะ ค่อยๆ จับ ลองนวดๆ แล้วค่อยๆ ดันดูว่าเค้าจะเข้าไปได้รึป่าวว สำหรับดิฉันสัมผัสได้เลยว่าเค้าเล็กลง ณ ตอนนี้ เค้าเข้าไปแล้วค่ะ เหลืออยู่นิดหน่อย
จากผลการทดลองคือ ดิ่มไป 1 เดือนค่ะ ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลยย ก็คิดว่าจะดิ่มไปเรื่อยๆ จนกว่าเค้าจะหายไป..เราก็ต้องให้เวลาเค้านะคะ วิธีธรรมชาติอาจจะให้เวลานานกว่า แต่ไม่เจ็บตัว และราคาถูกแสนถูก สนนราคาค่าหัวไชเท้า กะน้ำผึ้งนี่ยังไม่ถึง 300 บาทเลย...
นอกเหนือจากการรักษานี้ ดิฉันก็พยายามเปลี่ยนนิสัยการกินด้วยนะคะ สำหรับใครที่อยากจะลอง ดังนี้ค่ะ
1 ตื่นเช้ามาดื่นน้ำอุ่น 2 แก้ว เร่งการขับถ่าย
2. กินเมล็ดเจีย (chia seeds) 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับนม ทุกเช้า เมล็ดเจียให้ไฟเบอร์สูงค่ะ ช่วยทำให้มีกากไย ท้องจะได้ไม่ผูก
3. พยายามจิบน้ำตลอดวัน
4 ทานเนื้อสัตว์น้อยลงค่ะ ถ้าทานก็จะทานเนื้อปลาส่วนใหญ่ ไก่บ้าง เพราะเนื้อพวกนี้ย่อยง่ายกว่าเนื้อแดง
ลองดูนะคะ วิธีธรรมชาติ แต่ได้ผลมาก ลองแล้วดีจริงจึงบอกต่อ : )

ที่มา: Park_Micky
https://www.facebook.com/yuzuhealthy/posts/1039764109369544

ราคาทองร่วง 150 บาท ทองรูปพรรณขายออก 20,800 บาท


สมาคมค้าทองคำประกาศราคารับซื้อ ขายทองคำประจำวันที่ 24/03/2559 เวลา 09:32 น. ครั้งที่ 1ราคาปรับลดลง 150 บาทจากราคาปิดวานนี้ โดยคำแท่งรับซื้อ 20,300.00 บาท ายออก 20,400.00 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อ 20,011.20 บาท ขายออก 20,800.00 บาท

ที่มา: http://money.sanook.com/370445/

"น้องกร" เด็กงีบหลับข้างพระ ล่าสุด บวชเป็นสามเณรน้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (24 มี.ค.) เมื่อเวลา 06.00 น. ที่วัดป่ามณีกาญจน์ เลขที่ 67/3 ต.ศาลากลาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี มี ด.ช.จิรากร ศรสงคราม หรือ น้องกร ซึ่งปัจจุบันอายุได้ 3 ขวบ 9 เดือน ได้บวชเป็นสามเณร ออกเดินบิณฑบาตทุกเช้า มีชาวบ้านที่รักใคร่เอ็นดูมารอใส่บาตรเป็นจำนวนมาก
เมื่อไปถึงวัดป่ามณีกาญจน์พบว่า สามเณรกรได้เตรียมตัวขึ้นรถพร้อม พระอาจารย์อำนวย จิตตสวโร เจ้าอาวาส และพระภิกษุสามเณรอีกหลายรูปเพื่อไปยังตลาดบางคูลัด จากนั้นสามเณรกรได้เดินนำหน้าเจ้าอาวาสและพระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาต ภายในตลาดโดยมีพ่อค้า-แม่ค้า และชาวบ้านที่ศรัทธาในตัวสามเณรกรต่างมารอใส่บาตรกันเป็นจำนวนมาก
หลังจากรับบาตรจนเต็มแล้ว สามเณรกรพร้อมเจ้าอาวาสและคณะพระภิกษุจึงได้เดินทางกลับวัด เพื่อทำกิจวัตรสงฆ์โดยมีชาวบ้านใกล้เคียงเดินทางมาทำบุญที่วัดเป็นจำนวนมาก
ระหว่างนั้นสามเณรกรก็จะรับฟังเทศน์ธรรมจากพระอาจารย์อำนวย เมื่อเสร็จสิ้นการฟังธรรมก็ยังคงไร้เดียงสาตามประสาเด็ก หยอกล้อกับพระอาจารย์อำนวยพร้อมทั้งคอยนวดเฟ้นเอาใจ ซึ่งสามเณรกรเองทำแบบนี้มาตั้งแต่ตอนอายุขวบกว่าๆ จนเป็นข่าวเกรียวกราวโด่งดังไปทั่ว
โดยในตอนนั้น ด.ช.จิรากร ซึ่งมีอายุเพียง 1 ปี 11 เดือน จะตื่นนอนตอนตีห้าและตามนางวริษฐา เสื้อแผ้วอายุ 42 ปี ซึ่งเป็นมารดามาที่วัดทุกวัน แล้วคอยถือย่ามตามพระอาจารย์อำนวยออกบิณฑบาตทุกเช้า จนชาวบ้านรักใคร่เอ็นดูชื่นชม
เมื่อกลับจากเป็นเด็กวัดตัวน้อย คอยช่วยพระอาจารย์อำนวยแล้วก็จะมานั่งฟังธรรม จนมีหลายครั้งที่นั่งหลับเอียงไปเอียงมาเป็นที่น่าขบขัน กับญาติโยมที่มาทำบุญและรักใคร่ชื่นชมในตัวหนูน้อย ที่ยังเล็กแต่กลับมีจิตใจใฝ่ในพระธรรมจนผู้ใหญ่บางคนยังอาย
ส่วน นางวริษฐา มารดาของสามเณรกร เปิดเผยว่า บุตรชายเข้าพิธีบวชสามเณรภาคฤดูร้อน เมื่อวันที่ 19 มี.ค.59 ที่ผ่านมา และตั้งใจว่าจะบวชเณรสักหนึ่งเดือน แต่ก็คงต้องรอดูอีกทีว่าเขาอยากจะสึกเมื่อไหร่
ส่วนตัวแล้วภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มาก ตนพาน้องกรมาที่วัดตั้งแต่เด็กเพื่ออยากปลูกฝังนิสัย ให้เขาได้เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา เมื่อเขาเติบใหญ่ในภายภาคหน้าจะได้เป็นคนดีของสังคม ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ








ที่มา: http://news.sanook.com/1969154/

ชาวเน็ตเห็นแล้วท้อ แผนที่ไทยแล้ง แทบไร้พื้นที่สีเขียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวในพื้นที่ประเทศไทยระยะนี้ โลกโซเชียลมีเดียมีการแชร์ภาพถ่ายดาวเทียมจากองค์การนาซ่า ที่มีการโยงประเด็นไปถึงพื้นที่ป่าของเมืองไทยที่แทบจะไม่มีให้เห็น เมื่อมองจากภาพมุมสูงดังกล่าว
ทั้งนี้ ภาพถ่ายดังกล่าวที่มาจากองค์การนาซ่า นำมาเผยแพร่แสดงให้เห็นถึงภาวะมลพิษจากควันไฟ ทั้งไฟป่าและการเผาที่ดินทำกิน จากภาพจะเห็นจุดแดงหลายแห่งที่แสดงแทน "จุดฮอตสปอต" ที่มีความร้อนในรูปแบบเปลวไฟในพื้นที่ประเทศไทย ประเทศกัมพูชา และประเทศเมียนมาร์
ภาพดังกล่าวจึงถูกนำมาโยงเข้ากับสภาพอากาศร้อนในระยะนี้ ที่บางพื้นที่มีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ผู้คนในโลกออนไลน์ต่างเห็นพ้องกันว่า ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นปัญหาการตัดไม้และบุกรุกพื้นที่ป่าของเมืองไทย ที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องจาก กลุ่มนายหน้ายังคงเดินทางรุกพื้นทำกินใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อผืนป่าลดน้อยลง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความแห้งแล้งรุนแรงขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนบางส่วนก็มองว่า ภาพถ่ายจากองค์การนาซ่าดังกล่าว เป็นภาพที่วิเคราะห์จุดเกิดไฟป่าในภูมิภาค บันทึกภาพไว้ช่วงฤดูร้อนของไทย เชื่อว่าภาพที่เห็นไม่สามารถเจาะจงชัดเจนว่า ประเทศไทยผืนป่าแทบไม่มีหลงเหลือ แม้ผืนป่าจะลดปริมาณลงก็จริง แต่ภาพดังกล่าวอาจเป็นเพราะป่าผลัดใบตามฤดูกาล ทำให้ต้นไม้เปลี่ยนตามธรรมชาติ เมื่อนำเอาภาพถ่ายจากฤดูฝนเมื่อปีที่แล้วมาเปรียบเทียบ เผยให้เห็นพื้นที่สีเขียวปรากฏขึ้นมาอยู่หลายจุด
ภาพประกอบจาก: NASA

ที่มา: http://news.sanook.com/1967178/

ชาวบ้านกังวล เขาช้างคู่เมืองพังงาถล่ม หวั่นเป็นลางร้าย

เวลาประมาณ 17.30 น. (18 มี.ค.) เกิดเหตุ "เขาช้าง" ถล่ม ทำให้ก้อนหินขนาดใหญ่น้ำหนักหลายตัน พังถล่มลงมาจากภูเขา ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังศาลากลาง จ.พังงา โดยจุดที่เกิดเหตุอยู่ในซอยถ้ำพุงช้าง
สำหรับเขาช้างเป็นภูเขาหินมีความสูงประมาณ 30 เมตร ยาวประมาณ 200 เมตร ถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพังงาอีกด้วย ส่วนสาเหตุที่หินพังถล่มลงมายังไม่ทราบสาเหตุ ในขณะเกิดเหตุไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ชาวบ้านในพื้นที่คนหนึ่ง เปิดเผยว่า เขาช้างถือเป็นสัญลักษณ์ของ จ.พังงา มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน รวมทั้งมีตำนาน เรื่องเล่ามากมาย ซึ่งชาวพังงาถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองพังงามาแต่อดีต หากสังเกตเห็นว่าเขาช้างเกิดปรากฏการณ์ "ห่มผวย" หมายถึงห่มผ้าห่ม คือ เป็นลักษณะ ที่ถูกเมฆหรือหมอกปกคลุมจนขาวโพลน ก็มักจะเกิดเหตุฝนตกหนักน้ำท่วมฉับพลันทุกครั้ง การที่ครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง
ล่าสุด นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผวจ.พังงา พร้อมด้วย นายนิกร จันทร์อำไพ นายอำเภอเมืองพังงา ปภ.จังหวัดพังงา เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองพังงา ช่างโยธาฯอบจ.พังงา เข้าตรวจสอบเพิ่มเติมหินเขาช้างถล่มที่บริเวณหลังศาลากลางจังหวัดพังงา เขตเทศบาลเมืองพังงา พบว่ามีประชาชนเข้ามาดูสถานการณ์จำนวนมาก โดยมีการกั้นบริเวณห้ามเข้าใกล้จากเจ้าหน้าที่เนื่องจากอาจจะเกิดอันตรายต่อผู้ที่เข้าไปในบริเวณดังกล่าว
ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้นเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากหินแกรนิตเก่าเกิดผุพังและจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งจนมีน้ำจากฝนหลวงทำให้กัดกล่อนและอุ้มน้ำเมื่อสภาพกลับมาร้อนและแห้งจัดอีกครั้งทำให้ภูเขาดังกล่าวเกิดทรุดตัวและรับน้ำหนักไม่ไหวจึงถล่มลงมา โดยทางผู้ว่าราชการได้สั่งการให้ทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง
พร้อมขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกโดยเฉพาะเชื่อว่าเป็นเรื่องของอาถรรพ์ ซึ่งทางจังหวัดพร้อมที่จะสำรวจแนวหินในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงเพื่อความปลอดภัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว
โดยนายภัคพงศ์ กล่าวว่า ตนเองและหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบอีกครั้งเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชนได้ไม่หวั่นวิตก ซึ่งพบว่าหินที่ถล่มครั้งนี้เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกและวิตก หลังจากนี้จะให้ทางเจ้าหน้าที่ธรณีวิทยาเข้าตรวจสอบธรณีสัณฐานเพื่อวิเคราะห์สาเหตุที่เกิดขึ้น
ที่มา: http://news.sanook.com/1966958/

กรมคุมประพฤติ ยืนยัน ไม่เคยข่มขู่ "แพรวา"

อธิบดีกรมคุมประพฤติ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ไม่เคยการทำการข่มขู่ น.ส. อย่างที่ครอบครัวของจำเลยร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่วนการบำเพ็ญประโยชน์ส่วนที่เหลืออีกกว่า 30 ชั่วโมง จะตกลงร่วมกันอีกครั้ง เดือนมิถุนายนนี้

(20 มี.ค.) พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่กรมคุมประพฤติ ไม่เคยข่มขู่คุกคาม หรือ มีพฤติกรรมลวนลาม อย่างที่ครอบครัวของนางสาวแพรวา ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ตั้งข้อสังเกตว่า การร้องเรียนดังกล่าวอาจเกิดจากความไม่พอใจเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ไม่อะลุ่มอล่วยอย่างที่เคยปฏิบัติ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

ส่วนการบำเพ็ญประโยชน์ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำนวน 90 ชั่วโมง ภายในเวลา 1 เดือน โดยไม่แจ้งให้กรมคุมประพฤติรับทราบ นอกจากนี้ ยังเคยละเว้นการบำเพ็ญประโยชน์ในช่วงเวลาที่กำหนดตลอด 3 ปี อธิบดีกรมคุมประพฤติ ระบุว่า ไม่เป็นไปตามระเบียบ เนื่องจากส่งผลให้ยากต่อการตรวจสอบ แต่หากศาลรับเรื่องดังกล่าวแล้ว ก็ยืนยันว่าจะไม่กล่าวล่วงอำนาจศาล
แต่การบำเพ็ญประโยชน์อีกกว่า 30 ชั่วโมง ภายในเวลา 1 ปี ศาลสั่งให้จำเลยและกรมคุมประพฤติตกลงกันตามระเบียบ เบื้องต้น สัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่สามารถตกลงร่วมกันได้ จึงสั่งให้ตกลงร่วมกันใหม่อีกครั้ง ในวันที่ 21 มิถุนายนที่จะถึงนี้
นางสาวแพรวา อดีตเยาวชน ที่ขับรถฮอนด้าซีวิค เฉี่ยวชนรถตู้โดยสาร บนทางยกระดับดอนเมืองโทลเวย์ ผู้โดยสารเสียชีวิต รวม 9 ราย และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา โดยยืนโทษจำคุก 2 ปี แต่แก้โทษให้เพิ่มเวลารอลงอาญาจาก 3 ปี เป็น 4 ปี เพิ่มเวลาบำเพ็ญประโยชน์เป็นปีละ 48 ชั่วโมง รวม 4 ปี และห้ามขับรถจนอายุ 25 ปี
ที่มา: http://news.sanook.com/1967154/

ลักษณะความรักแบบเมตตา


เราจะสังเกตได้อย่างไรว่า ความอยากให้เขามีความสุข หรืออยากเห็นเขามีความสุข และอยากทำอะไรๆ เพื่อให้เขามีความสุข จึงไม่ใช่กิเลสตัณหา ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ไม่มีตัวตน ตัวกู ของกู แต่เป็นความรักความปรารถนาดีด้วยสติปัญญา ปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายดำรงตนอยู่อย่างสงบสุข  เช่น พระพุทธเจ้าทรงเมตตาต่อสรรพสัตว์ เป็นต้น

๒. กระทำหรือแสดงออกแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเกื้อกูลต่อคนอื่นและสัตว์อื่นอยู่เสมอ

ในเมื่อมีความปรารถนาดีแก่สรรพสัตว์แล้ว เมื่อจะประพฤติสิ่งใดก็ตาม ถ้าเป็นไปเพื่อสร้างทุกข์ ก่อปัญหา ไม่เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นก็ละเว้นเสีย จะประพฤติแต่สิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์ และอำนวยสุขแก่บุคคลอื่นเท่านั้น โดยถือว่าการกระทำที่ดีงามเป็นเหมือนหน้าที่ของตน เป็นภาระตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่ตนได้เกิดมา บุคคลผู้มีเมตตา ย่อมเป็นผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณงามความดี จากนั้นก็น้อมนำคุณงามความดี สิ่งที่เป็นประโยชน์สู่บุคคลอื่นๆ ให้เขาเหล่านั้นได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับที่ตนเองได้รับมา เมตตาลักษณะนี้จึงไม่มีความบกพร่องอยู่ข้างใน

๓. มีพลังสามารถทำลายความอาฆาตพยาบาทได้

“ความอาฆาต” คือ ความโกรธเคือง ฉุนเฉียว กระทบกระทั่ง ผูกโกรธ ผูกใจเจ็บ และอยากแก้แค้น บุคคลที่มีเมตตาจิตสามารถกำจัดจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น ที่บังเกิดขึ้นในดวงจิตของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายได้ ส่วน “ความพยาบาท” คือ ความขัดเคือง แค้นใจ ความเจ็บใจ ความคิดร้าย  ความผูกใจเจ็บและอยากแก้แค้นต่างๆ เนื่องจากผู้มีเมตตานั้นย่อมต้องมีการให้อภัยแก่บุคคลและสัตว์เป็นพื้นฐานอยู่เสมอ ไม่ถือสาเอาสิ่งที่ไม่เป็นที่น่าพอใจ ขัดเคืองใจ และความโกรธมาเป็นอารมณ์เหนือจิตใจของตน พร้อมที่จะให้อภัยแก่บุคคลคนนั้นอยู่เสมอ เมื่อจิตใจให้อภัยแล้วความโกรธเคืองและความคิดเป็นอกุศลอื่นๆก็เกิดขึ้นไม่ได้ หรือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็สามารถสงบระงับลงด้วยด้วยอภัยทาน

๔. ที่มีเมตตาจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อตนเองสามารถทำให้บุคคลอื่นมีความสุขด้วย นั่นก็คือ เห็นความสุขของบุคคลอื่นตลอดจนถึงสรรพสัตว์ทั่วๆไปเป็นพื้นฐานสำคัญ

หากการกระทำหรือคำพูดใดๆของตน ที่จะส่งผลกระทบถึงบุคคลอื่นให้ได้รับความทุกข์  ก็ไม่กระทำ ไม่กล่าวคำเช่นนั้น และเมื่อเห็นบุคคลอื่นมีความสุขก็ยินดีในความสุขของเขา สนับสนุนเอาใจใส่ ไม่อิจฉาริษยา มีแต่ความปลาบปลื้มยินดีด้วย ในทางตรงกันข้ามหากบุคคลที่ตนรักมีความทุกข์ก็จะเกิดความกรุณา สงสาร คิดช่วยเหลือ หรือพยายามกระทำการต่างๆเพื่อช่วยเหลือให้เขาพ้นจากความทุกข์ แม้ได้ช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่ไม่สามารถช่วยได้ ก็จะเกิดอุเบกขาตามมา เราจะเห็นได้จากความรักของพ่อแม่ กล่าวคือ พ่อแม่จะกระทำทุกอย่างเพื่อความสุขของลูก

สมัยเรียนมัธยมผู้เขียนเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งน่าสนใจมาก ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ จะเดินทางไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพ ก่อนออกเดินทางลุงของชายหนุ่มคนนี้แวะมาบอกว่า “ก่อนไป ให้แวะไปหาแกด้วย แกจะให้คาถามหาเสน่ห์” ชายหนุ่มคนนี้ดีใจมาก ก่อนออกเดินทางจึงไปหาคุณลุง ไปถึงลุงก็บอกว่าให้จำไว้นะหลาน คาถามหาเสน่ห์มี ๓ คำ เท่านั้น คือ “ผม-รัก-คุณ” แกบอกว่า ให้ท่องคำนี้ให้ขึ้นใจและนำไปใช้ปฏิบัติ เมื่อมีคนด่า ก็ให้ท่องคาถานี้ในใจ ความโกรธเกลียดผู้ด่าก็จะหมดไป เวลาครูสอนให้ท่องคาถานี้ในใจ เราจะให้ความเคารพและตั้งใจเรียน แม้เวลาจ่ายค่ารถ ซื้อของ ก็ให้ท่องคาถานี้ให้ขึ้นใจ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความรักเกิดขึ้น ความโกรธ เกลียด แค้น เคือง พยาบาทก็จะไม่เกิดขึ้น ใครจะลองเอาไปปฏิบัติก็ได้นะครับ แต่มีข้อแม้ว่า เวลาเจอแฟนคนอื่นอย่าท่องออกเสียงแล้วกัน มิเช่นนั้นไม่รับรองความปลอดภัย

แชร์ได้ ค่ะ

ที่มา: https://plus.google.com/102094581519826698737

การตอนโค


การตอนโคนั้นเราจะเลือกโคที่มีอายุ 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี

1. การใช้ยางรัด
2. การใช้ของแข็งทุบเส้นโลหิตให้ตีบตัน
3. การผ่าเอาเม็ดอัณฑะออก
4. การใช้เบอร์ดิชโซ่ ในการตอน เบอร์ดิชโซ่คือเครื่องมือชนิดหนึ่งเป็นคีมสำหรับหนีบลูกอัณฑะให้แน่น จะทำให้เส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงรวมถึงท่อน้ำเชื้อตีบตัน จะทำให้โคหมดความรู้สึกทางเพศและเนื่องจากลูกอัณฑะเสื่อมลงไปนั่นเอง ในการทำขั้นตอนนี้นั้นผู้เลี้ยงต้องนำโคเข้าซอง เพื่อบังคับให้โคอยู่ในท่ายืนหรือมัดโคทั้ง 4 ขาและบังคับให้โคนอนลงจากนั้นจึงใช้มือบีบเส้นขั้วอัณฑะข้างใดข้างหนึ่งให้อยู่ชิดถุง และใช้คีมบีบลงเส้นขั้วอัณฑะเป็นเวลานาน 3 นาที แล้วทำเช่นนี้กับอัณฑะอีกข้างหนึ่ง และต้องให้ผิวหนังที่ไม่ถูกหนีบอยู่ระหว่างรอยหนีบทั้งสองให้มากที่สุด เพื่อให้การไหลเวียนโลหิตส่วนหนึ่งไปเลี้ยงถุงอัณฑะได้ตามปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงอัณฑะเน่า
และเนื่องจากเครื่องมือนี้มีราคาแพง เกษตรกรควรขอยืมจากปศุสัตว์จังหวัด หรือปศุสัตว์อำเภอมา หรือจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มและซื้อเข้ามาก็ได้